in

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “เครื่องวัดความต้านทานดิน” ที่อาจนำไปสู่อันตราย

คุณเคยคิดไหมคะว่าแค่ซื้อ เครื่องวัดความต้านทานดิน มาแล้วก็เอาไปวัดค่าได้เลย ไม่ต้องรู้อะไรมากก็ได้? หรือบางทีก็เข้าใจผิดไปเองว่าค่าที่เครื่องโชว์เป็นตัวเลขเท่าไหร่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว? ความคิดเหล่านี้แหละค่ะ ที่เป็น “กับดัก” สำคัญที่อาจนำไปสู่อันตรายที่ไม่คาดคิดในระบบไฟฟ้าของเราเลยนะคะ

บ่อยครั้งที่เราเห็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ เครื่องวัดความต้านทานดิน ซึ่งบางครั้งอาจส่งผลให้เราประเมินความปลอดภัยของระบบสายดินผิดไปไกลมาก แทนที่จะป้องกันอันตรายจากไฟดูด ไฟรั่ว กลับกลายเป็นว่าเรากำลังเสี่ยงอยู่บนความเข้าใจผิดๆ ค่ะ

วันนี้เราจะมา “ถอดรหัส” ความเข้าใจผิดที่เจอกันบ่อยๆ เกี่ยวกับ เครื่องวัดความต้านทานดิน พร้อมอธิบายให้เห็นภาพชัดๆ ว่าทำไมความเข้าใจผิดเหล่านั้นถึงอาจนำไปสู่อันตรายได้ และอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องที่คุณควรรู้ เพื่อให้การวัดค่าสายดินของคุณปลอดภัยและแม่นยำจริงๆ ค่ะ

ความเข้าใจผิดที่ 1: แค่เครื่องวัดค่าได้ ก็แปลว่าเครื่องดีแล้ว?

นี่คือความเข้าใจผิดแรกที่พบบ่อยมากๆ เลยค่ะ บางคนอาจจะคิดว่าขอแค่ เครื่องวัดความต้านทานดิน ที่ซื้อมามันแสดงตัวเลขได้ก็พอแล้ว ไม่ได้สนใจสเปกอื่นๆ

  • ความจริงคือ: เครื่องวัดความต้านทานดินที่ดี ต้องมีความแม่นยำสูง และได้รับการสอบเทียบ (Calibration) อย่างสม่ำเสมอค่ะ
    • ความแม่นยำสำคัญกว่าตัวเลขที่โชว์: เครื่องราคาถูก หรือเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจแสดงตัวเลขได้ แต่ตัวเลขนั้นอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงเลยก็ได้ค่ะ ลองนึกภาพว่าเครื่องบอกว่าค่าความต้านทานดินของคุณ 3 โอห์ม ซึ่งถือว่าดีมาก แต่จริงๆ แล้วมันคือ 30 โอห์ม นั่นหมายความว่าคุณกำลังมั่นใจในความปลอดภัยที่ผิดๆ อยู่ และระบบสายดินของคุณก็อาจจะไม่ได้ป้องกันอันตรายอย่างที่คิด
    • การสอบเทียบสำคัญมาก: เครื่องวัดความต้านทานดิน ทุกเครื่องควรได้รับการสอบเทียบจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามที่ผู้ผลิตแนะนำนะคะ การสอบเทียบจะช่วยยืนยันว่าเครื่องของคุณยังคงวัดค่าได้อย่างถูกต้องแม่นยำอยู่เสมอ

ความเข้าใจผิดที่ 2: วัดแบบไหนก็ได้ ขอแค่วัดได้ก็พอ?

หลายคนอาจจะคิดว่าวิธีการวัดค่าความต้านทานดินไม่สำคัญ แค่เอาเครื่องไปวัดแล้วได้ตัวเลขก็พอแล้ว แต่จริงๆ แล้ว วิธีการวัดมีผลกับค่าที่ได้มากๆ เลยค่ะ

  • ความจริงคือ: วิธีการวัดที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับตามมาตรฐานของการไฟฟ้าฯ (กฟภ. และ กฟน.) คือ วิธีการวัดแบบ 3-จุด (หรือ Fall-of-Potential Method) ค่ะ
    • ทำไม 3-จุดถึงสำคัญ: วิธีนี้ต้องมีการตอกหลักดินเสริม 2 แท่ง (อิเล็กโทรด) ในระยะห่างที่เหมาะสมจากหลักดินที่เราต้องการวัด เพื่อสร้างวงจรการวัดที่สมบูรณ์และตัดผลกระทบจากความต้านทานของสายวัด ทำให้ค่าที่ได้มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุด
    • ข้อควรระวังกับวิธีแคลมป์ (Clamp-on Earth Tester): แม้ เครื่องวัดความต้านทานดิน แบบแคลมป์จะสะดวกและรวดเร็วมากๆ เพราะไม่ต้องตอกหลักดินเสริม แค่หนีบที่สายดินก็วัดได้เลย แต่วิธีนี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบเบื้องต้น หรือการบำรุงรักษาในระบบที่มีการต่อสายดินแบบ Loop (มีสายดินหลายจุดเชื่อมโยงกัน) แต่ไม่เหมาะกับการรับรองหรือการติดตั้งหลักที่ต้องการความแม่นยำสูงสุดตามมาตรฐานของการไฟฟ้าฯ ค่ะ ถ้าคุณใช้เครื่องแคลมป์วัดหลักดินเดี่ยวๆ ที่ไม่ได้เชื่อมกับ Loop อื่นๆ ค่าที่ได้อาจจะไม่ถูกต้องเลยนะคะ

ความเข้าใจผิดที่ 3: วัดครั้งเดียวจบ ใช้ได้ตลอดไป?

บางคนอาจจะคิดว่าพอวัดค่าความต้านทานดินได้ตามมาตรฐานแล้ว ก็สบายใจได้เลย ไม่ต้องวัดอีกแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยนะคะ

  • ความจริงคือ: ค่าความต้านทานดินสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาค่ะ ปัจจัยหลายอย่างมีผลต่อค่านี้
    • สภาพดิน: ความชื้นในดินมีผลต่อค่าความต้านทานดินมากๆ ค่ะ ดินที่แห้งมากๆ (เช่น ช่วงฤดูแล้ง) จะมีความต้านทานสูงกว่าดินที่ชื้น การวัดในสภาพดินที่ต่างกันก็จะได้ค่าที่ไม่เท่ากัน
    • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ: เช่น การก่อสร้างใกล้เคียง การถมดิน การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำใต้ดิน หรือแม้แต่การติดตั้งโครงสร้างโลหะใหม่ๆ ในบริเวณใกล้เคียง ก็อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบสายดินได้
    • การกัดกร่อนของหลักดิน: หลักดินที่ตอกลงไปในดินเนี่ย เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจเกิดการกัดกร่อน เสื่อมสภาพ ทำให้ค่าความต้านทานสูงขึ้นได้
  • คำแนะนำ: คุณควรทำการวัดค่าความต้านทานดินอย่างสม่ำเสมอค่ะ อย่างน้อยก็ควร วัดปีละ 1 ครั้ง หรือถ้ามีเหตุการณ์สำคัญๆ อย่างการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ที่มีขนาดใหญ่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในบริเวณใกล้เคียง ก็ควรวัดซ้ำเพื่อความมั่นใจค่ะ

ความเข้าใจผิดที่ 4: ค่าความต้านทานดินแค่ “ต่ำกว่า 5 โอห์ม” ก็พอแล้ว?

แม้มาตรฐานของการไฟฟ้าฯ จะบอกว่าควรน้อยกว่า 5 โอห์ม แต่ในบางกรณี แค่ 5 โอห์ม อาจจะยังไม่ดีที่สุดนะคะ

  • ความจริงคือ: สำหรับระบบที่มีความสำคัญมากๆ หรือมีความเสี่ยงสูง ควรพยายามทำให้ค่าความต้านทานดิน ต่ำกว่า 5 โอห์มให้มากที่สุด ค่ะ
    • ความปลอดภัยสูงสุด: ยิ่งค่าความต้านทานดินต่ำเท่าไหร่ กระแสไฟฟ้าก็จะยิ่งไหลลงดินได้ง่ายและรวดเร็วเท่านั้น ซึ่งหมายถึงความปลอดภัยที่สูงขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน
    • การทำงานของอุปกรณ์ป้องกัน: ระบบป้องกันไฟดูดอย่างเบรกเกอร์ (RCD/RCBO) จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อมีค่าความต้านทานดินที่ต่ำมากๆ ค่ะ

การเข้าใจ “เครื่องวัดความต้านทานดิน” อย่างถูกต้อง คือกุญแจสู่ความปลอดภัย

ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ เครื่องวัดความต้านทานดิน และการวัดค่าความต้านทานดินเนี่ย อาจนำไปสู่อันตรายที่ไม่คาดคิดในระบบไฟฟ้าของเราได้เลยนะคะ แทนที่จะปกป้องเรา กลับกลายเป็นว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว

การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เครื่องวัดความต้านทานดิน คืออะไร ใช้วัดยังไงให้ถูกวิธี อ่านค่าแบบไหนถึงจะเชื่อถือได้ และอะไรคือมาตรฐานที่ถูกต้องจาก การไฟฟ้าฯ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เลยค่ะ

การลงทุนในความรู้และการใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าระบบสายดินของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมปกป้องทุกคนในบ้านหรือในโรงงานจากอันตรายจากไฟฟ้าได้อย่างแท้จริงค่ะ อย่าปล่อยให้ความเข้าใจผิดมาบดบังความปลอดภัยของคุณนะคะ

What do you think?

Written by admin_measuring

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Loading…

0

5 จุดที่ควรเช็กก่อนซื้อ ตลับเมตร ไม่งั้นได้ของเสียแน่นอน